“ต้นโมก”

        
      โมก หมายถึง ผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง คนโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุข ช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตราย เป็นสิริมงคลแก่บ้านโมกมีดอกเป็น สีขาว สะอาด มีกลิ่นหอม มองแล้วรู้สึกสบายใจ
      
ต้น  เป็นไม้ยืนต้น ผิวเปลือกสีน้ำตาลดำ ลำต้นกลมมีจุดสีขาว แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบ ลำต้น
      
ใบ  ใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบ
      
ดอก  ออกดอกเป็นช่อ อยู่ตามปลายกิ่ง ดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดิน สีขาวกลิ่นหอม
      ฝัก  รูปทรงกระบอก มีเมล็ดเรียงมีขนสีขาวเป็นกระจุกที่ปลาย


     
การปลูกโมกในกระถาง
 
การปลูกควรใช้กระถางทรงสูง ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ขุยมะพร้าว  ดินร่วน ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางบ้างแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มและการเจริญเติบโตของทรงพุ่ม และควรเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินเดิมที่เสื่อมสภาพไป
       การดูแล
                 โมก ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด ปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง ดินร่วนซุย มีความชื้นปานกลาง
 
การขยายพันธุ์ต้นโมก
     
มีทั้งการตอน, การเพาะเมล็ด และ การปักชำ ทั้งนี้ต้นโมกไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติ

“ต้นกวักมรกต”


 เป็นไม้ในร่มที่สวยงาม มีความเชื่อว่าเมื่อนำมาปลูกจะเสริมโชคลาภ ความมั่งคั่งราบรื่น ประสบความสำเร็จในชีวิต
ลักษณะมีหัวใต้ดิน แท่งใบเหนือดิน ก้านใบอวบน้ำ แตกใบย่อยเป็นสีเขียวมรกต ใบเรียงสวยงามและเป็นมัน ส่วนดอกเป็นช่อ  ดูแลง่าย ไม่ค่อยพบปัญหาโรคพืชหรือแมลงมารบกวน
วิธีการปลูกและดูแลรักษา
นำต้นมรกตมาปลูกในกระถางใส่ดินร่วน ผสมแกลบปลูกในที่พอมีแสงสว่างบ้างไม่ต้องการน้ำมาก
วิธีขยายพันธุ์ต้นกวักมรกต

ต้นกวักมรกตเป็นต้นชนิดหัว เมื่อต้นเจริญเติบโตเต็มที่ สามารถแยกหัวเพื่อขยายพันธุ์ได้

ประโยชน์และสรรพคุณของ “ยอ”

  “ยอ  มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงประโยชน์สามารถใช้ได้ทุกส่วน ต้น ใบ ผล
 ลำต้น ดอก เมล็ด 
ประโยชน์และสรรพคุณ
- ใบสด มีวิตามินเอสูงจึง ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ใช้ทำอาหาร เช่น ห่อหมก
    ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ อาหารหมู
- ดอกยอ ใช้รักษาโรคกุ้งยิง
-  ใบทำยาพอก รักษาโรคมาลาเรีย แก้ไข้ แก้ปวด รักษาวัณโรค อาการเคล็ดยอก
- นำใบสดมาคั้นเอาน้ำมาสระผมฆ่าเหา
- แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า รักษาวัณโรค แก้ท้องร่วง ลดไข้ แก้ไอ
   -  ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคในระบบหัวใจ
- แก้โรคมะเร็ง แก้โรคเกาต์ ช่วยขับประจำเดือน แก้อาการคลื่นไส้ วิงเวียน
- ลูกยอสุก ใช้รับประทานเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหาร
     ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง 
-  ลูกยอบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้คอเจ็บ แก้ปากและเหงือกอักเสบ
      แก้ปวดฟัน ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค
- น้ำสกัดลูกยอ แก้ความดันโลหิตสูง รักษาโรคเบาหวาน

- ลูกยอสด ช่วยขับประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ 

ประโยชน์และสรรพคุณของ “ตะขบ”



ต้นตะขบเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เปลือกสีเทา กิ่งแผ่สาขาขนานกับพื้นดิน ตามกิ่งมีขนปกคลุม ขนนุ่ม ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาในสวนผลไม้หรือตามสวนป่าเพื่อเป็นอาหารของนก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
ประโยชน์ของตะขบ
-        ผลสุกมีรสหวาน ใช้รับประทานได้
-        ตะขบ มีใยอาหาร แคลเซียม และโพแทสเซียมสูง ช่วยดูดซับคลอเรสเตอรอล
    ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้และเส้นเลือดสมองแตก
-        ตะขบนำไปสกัดใช้ ย้อมเส้นไหมได้
สรรพคุณของตะขบ
-        รากมีรสฝาดเล็กน้อย ใช้ปรุงเป็นยาขับเหงื่อ แก้เสมหะ  โรคผิวหนัง  แก้ผื่นคัน
          ตามตัว
-        เนื้อไม้มีรสฝาด ใช้ทำเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด
-        เปลือก แก่น และใบ ใช้เป็นยารักษาอาการปวดเมื่อยตามตัว แก้โรคเหน็บชา
               รักษาอาการปวดข้อ
-        ดอก ใช้เป็นยารักษาแก้ปวดศีรษะ แก้หวัด ปวดเกร็งในทางเดินอาหาร ลดไข้ 

“ต้นมะลิ”

มะลิเป็นไม้มงคลที่สูงค่าจึงนิยมใช้บูชาพระ  สีขาวอันบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมเย็นไม่ว่าจะเป็นมะละซ้อนหรือมะลิลา ส่งเสริมสิริมงคลทางด้านทำให้คนในบ้านมีความรักใคร่กลมเกลียว และนำมาใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ วันแม่ เพราะดอกมะลิเปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้ลูกน้อยไม่มีวันเสื่อมคลาย
ลักษณะของต้นมะลิ
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เป็นทรงพุ่ม มีใบแน่น มีความสูงประมาณ 5 ฟุต แตกกิ่งก้านรอบ ๆ ลำต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำ และการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบแสงแดดจัด
ดอกมะลิ ออกดอกตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะของดอก ดอกซ้อนเราจะเรียกว่า มะลิซ้อนส่วนดอกที่ไม่ซ้อนจะเรียกว่า มะลิลาโดยทั้งสองชนิดจะเป็นดอกสีขาวและมีกลิ่นหอม ซึ่งดอกมะลิลาจะมีกลิ่นหอมมากกว่าดอกมะลิซ้อน
วิธีการปลูกและดูแลดอกมะลิ
  -
ดินร่วนซุยมีการระบายน้ำดี                       
  -
มีความเป็นกรด-ด่าง 5.5-6.5
  -
มีอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารสมบูรณ์                     
  -
ได้รับแสงแดดเต็มที่
  -
เตรียม ทรายผสมขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 1:1 บรรจุในภาชนะ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
 -
นำกิ่งพันธุ์มะลิปักชำลงในแปลงชำ ให้มีระยะระหว่างแถว และกิ่ง 2x2 นิ้ว 
          รดน้ำและสารป้องกันกำจัดเชื้อรา รักษาความชื้นให้เหมาะสม
  - หลังจากที่กิ่งปักชำออกรากแล้วให้ย้ายลงปลูกในถุง โดยใส่ดิน ใส่ขุยมะพร้าว
           และใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 3:1:1 จนต้นมะลิแข็งแรงดีแล้วจึงนำไปปลูก
  - การปลูกนิยมปลูกในช่วงฤดูฝน เดือน มิถุนายน-กรกฎาคม
  -
ขุดหลุมให้ลึก กว้าง และยาวด้านละ 50 ซม.
  -
ใส่ปุ๋ยคอก คลุกให้เข้ากันกับดิน ทิ้งไว้ 7-10 วัน จึงนำต้นมะลิลงปลูก
  -
การตัดแต่ง หลังจากปลูกมะลิไปนาน ๆ แล้ว เพราะมะลิจะแตกกิ่งก้านมากมาย
              ควรตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่งอยู่เสมอ  
  - การให้น้ำ มะลิจะต้องการน้ำพอสมควร อาจให้น้ำวันละ 1ครั้ง หรือ สัปดาห์ละครั้งก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพของดิน โดยให้รดน้ำในตอนเช้า แต่ระวังอย่าให้น้ำท่วม หรือ มีน้ำขังอยู่ที่ดินเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ต้นมะลิแคระแกร็น ใบเหลือง และตายได้

“ต้นมะลิ”


มะลิเป็นไม้มงคลที่สูงค่าจึงนิยมใช้บูชาพระ  สีขาวอันบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมเย็นไม่ว่าจะเป็นมะละซ้อนหรือมะลิลา ส่งเสริมสิริมงคลทางด้านทำให้คนในบ้านมีความรักใคร่กลมเกลียว และนำมาใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ วันแม่ เพราะดอกมะลิเปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้ลูกน้อยไม่มีวันเสื่อมคลาย
ลักษณะของต้นมะลิ
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เป็นทรงพุ่ม มีใบแน่น มีความสูงประมาณ 5 ฟุต แตกกิ่งก้านรอบ ๆ ลำต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำ และการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบแสงแดดจัด
ดอกมะลิ ออกดอกตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะของดอก ดอกซ้อนเราจะเรียกว่า มะลิซ้อนส่วนดอกที่ไม่ซ้อนจะเรียกว่า มะลิลาโดยทั้งสองชนิดจะเป็นดอกสีขาวและมีกลิ่นหอม ซึ่งดอกมะลิลาจะมีกลิ่นหอมมากกว่าดอกมะลิซ้อน
สรรพคุณ
- ดอกสดนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกขมับ จะช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้
- รากสดใช้ทำเป็นยาล้างตาแก้เยื่อตาอักเสบ (ราก)
- ช่วยแก้อาการเจ็บหู (ดอกและใบ)
- ช่วยแก้อาการปวดฟัน
- ดอกและใบมีรสเผ็ดชุ่ม เป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
- ใช้เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเหงื่อ แก้ไข้หวัดแดด (ดอกและใบ
- ดอกแก่ใช้เข้ายาหอมเป็นยาแก้หืด (ดอก)
- รากใช้เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับทรวงอก (ราก)
-  ดอกสดนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกหรือเช็ดบริเวณเต้านม
      เพื่อให้หยุดการหลั่งของน้ำนมได้ (ดอก)
- ช่วยแก้อาการเสียดท้อง (ราก)
- ช่วยบำรุงครรภ์รักษา (ดอก)
- ช่วยขับประจำเดือนของสตรี (ราก)

“มาตรวจไฟเบรกกัน”


   - กรณีมี 2 คน ทำการเหยียบเบรก 1 คน อีก 1 คน อยู่ท้ายรถ เพื่อดูสถานะของไฟเบรก
- กรณีมีเพียงคนเดียว ให้หันท้ายรถเข้ากับกำแพง หรือ วัสดุที่สามารถเห็น สะท้อนได้ชัดเจน ทำการเหยียบเบรก แล้วมองดูว่าติดครบทุกดวงหรือไม่
- กรณีมีเพียงคนเดียว และบริเวณนั้นไม่มีกำแพง ลองใช้กระดาษA4 จำนวน 2 แผ่น แล้วติดเทปใสไว้สักนิด นำไปแปะที่ไฟเบรกท้าย (เวลาแปะกระดาษที่ไฟท้ายให้ติดเยื้องๆออกมาจากรถ จะได้มองที่กระจกตอนเหยียบ เบรก และเห็นไฟได้ชัดขึ้น) จะเห็นว่าไฟเบรกท้ายสะท้อนขึ้นที่กระดาษ  A4 แต่หากไม่เห็นไฟสะท้อนขึ้นที่กระดาษ ก็แสดงว่าไฟเบรก!!!ไม่เสียก็คงมีปัญหาแน่ๆรีบซ่อมด่วนๆ เพราะมันอันตราย นะจ๊ะ

- สาเหตุที่ทำให้ไฟเบรกไม่ติดอันดับหนึ่ง (ใช้งานปกติ) นั่นก็คือ หลอดหมดอายุ อายุของหลอดไฟไม่สามารถระบุได้แน่นอน จะขึ้นอยู่กับการพฤติกรรมของผู้ใช้ รถส่วนใหญ่ เวลาติดไฟแดงติดบนสะพาน หรืออื่นๆ จะชอบเหยียบเบรกค้างไว้ ฉะนั้นรถจอดบนพื้นระดับ (เรียบ) ควรเข้าเกียร์ว่างและเอาเท้าออกจากคันเหยียบเบรก เพียงเท่านี้หลอดไฟก็จะใช้งานนานขึ้น

ประโยชน์และสรรพคุณของ”หัวปลี”

หัวปลี หรือ ปลีกล้วย คือส่วนที่เป็นดอกของต้นกล้วย เมื่อคลี่กาบที่มีผลกล้วยซ่อนอยู่ภายในหลายๆ ผลรวมกัน เรียกว่า หวี มันจะเจริญงอกงามคลี่กาบหวีกล้วยออกไปเรื่อยๆ หลายหวีรวมกัน เรียกว่าเครือ
 หัวปลี  สามารถนำมาทำเป็นผักและเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายอย่าง เช่น การนำไปแกงเลียงให้สตรีหลังคลอดรับประทาน เป็นการช่วยเพิ่มน้ำนมของคุณแม่ให้มีมากขึ้น
 เมนูยอดนิยมคือนำหัวปลีไปเผาไฟ แล้วลอกกาบส่วนที่อ่อนๆ มาจิ้มน้ำพริก หรือนำไปยำ หรือกินสดๆ แกล้มผัดไทย ขนมจีนน้ำพริก หรือนำไปทอดกรอบ ปรุงผสมทอดมัน ห่อหมก และเมนูอร่อยห้ามลืม ต้มยำกะทิหัวปลี
สรรพคุณทางยา
1. หัวปลี มีรสฝาดเย็น แก้ร้อนใน กระหายน้ำแก้โรคกระเพาะ แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ โรคโลหิตจาง  ลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน
2. หัวปลีเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีบุตร ดังนั้นคุณแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูกก็ควรจะกินอาหารที่มีหัวปลีเป็นส่วนประกอบ ให้มากๆ ระหว่างที่ยังให้นมลูก


ประโยชน์และสรรพคุณของ”ขนุน”



ตามความเชื่อของคนโบราณ บอกกันว่า การปลูกต้นขนุนจะทำให้ได้รับการเกื้อหนุนสนับสนุน อุดหนุนจุนเจือ ให้ความช่วยเหลือ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้ ซึ่งหากบ้านไหนคิดจะปลูกต้นขนุนแล้วล่ะก็ ควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นคนลงมือปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี
- ไม้ต้น  ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นสามารถ บริโภคทั้งผลดิบและผลสุก นอกจากนี้ยังนำไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ มีปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย
- ออกดอก จะออกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม 
                                และเมษายน พฤษภาคม
- ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด ติดตา และทาบกิ่ง
- ประโยชน์ ผลอ่อน ใช้ปรุงอาหาร ผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหาร 
- เนื้อไม้ ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด

- รากและแก่น ให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม
 - ราก นำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้ 
- ใบ เผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลามะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผล

ประโยชน์และสรรพคุณของ”ลูกใต้ใบ”


- ขับประจำเดือน สำหรับคุณผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยนำต้นลูกใต้ใบมาต้มกิน แต่หากประจำเดือนมามากกว่าปกติ ให้นำรากสดของลูกใต้ใบมาตำผสมกับน้ำซาวข้าวกินจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
    - ควบคุมระดับน้ำตาล เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน

     -
แก้ปวด แก้อักเสบ แก้ร้อนใน นอกจากลูกใต้ใบจะสามารถแก้ไข้ได้แล้ว ยังมีงานวิจัยพบว่า ลูกใต้ใบสามารถแก้อาการปวดข้อ อาการอักเสบต่าง ๆ ได้

     -
แก้ปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อย โดยนำลูกใต้ใบมาล้างน้ำ และสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้ง ต้มใส่หม้อดิน นำมาดื่มแทนน้ำชา
      -
ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ลดความดัน รักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลดอาการบวม ช่วยคนที่เป็นโรคเก๊าท์ขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ

       -
รักษาแผล นำลูกใต้ใบมาตำพอก หรือตำแล้วคั้นเอาน้ำมาทารักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แต่หากเป็นแผลเรื้อรังจะใช้ใบตำผสมน้ำซาวข้าวมาพอกได้

     -
แก้คัน ตำใบของลูกใต้ใบผสมกับเกลือ แล้วนำมาทาจะช่วยแก้คันได้

     -
แก้เริม ใช้ลูกใต้ใบ ตำผสมกับเหล้าแล้วคั้นเอาน้ำยา จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำยามาแปะตรงที่เป็นเริม เพื่อให้รู้สึกเย็น แล้วจะหายปวด

     -
แก้ฟกช้ำ แก้ฝี ใช้ต้นสด ๆ ตำผสมกับเหล้า แล้วนำมาพอกแก้ฟกช้ำ ปวดบวมได้

 
ข้อควรระวัง ในการใช้ ลูกใต้ใบ
        
ห้ามใช้ลูกใต้ใบกับหญิงมีครรภ์ เพราะลูกใต้ใบมีสรรพคุณในการขับประจำเดือน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับหญิงมีครรภ์ได้ 

ประโยชน์และสรรพคุณของ”ลูกหว้า”


เปลือกลำต้น แก้บิด ยากวาดคอ แก้ปากเปื่อย แก้คอเปื่อย เป็นเม็ดตามลิ้นและคอ 
  แก้อาการน้ำลายเหนียวข้น โดยการนำเปลือก ลำต้นมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
ใบ รักษาอาการบิด มูกเลือด ท้องเสีย โดยการนำใบมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
ผล แก้ท้องร่วงช่วยชะลอความแก่และความเสื่อมของเซลล์ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง บรรเทาอาการของวัณโรค และโรคปอด โดยการนำผลมารับประทานสดๆ
เมล็ด รักษาอาการบิด มูกเลือด ท้องเสีย รักษาโรคเบาหวาน รักษาโรคผิวหนัง โดยการนำเมล็ดมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน รักษาโรคผิวหนังโดยนำเมล็ดมาบดแล้วทาบริเวณที่เกิดอาการ

“ต้นโป๊ยเซียน”


ต้นไม้แห่งโชคลาภ เชื่อว่า เป็นต้นไม้เสี่ยงทาย ทำให้ครอบครัวสงบสุข หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญรุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ

วิธีการปลูกและดูแลรักษา
ดินปลูก
ควรเป็นดินชั้นบนมีอินทรียวัตถุพวกเศษพืช โดยเฉพาะใบก้ามปูและใบทองหลางที่เน่าเปื่อยผุพังคลุกเคล้าอยู่ในดินจนเป็นเนื้อเดียวกัน ดินประเภทนี้จะอุ้มน้ำและระบายอากาศได้ดี ทำให้รากของโป๊ยเซียนแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว การใช้ดินปลูกที่แน่นทึบและมีน้ำขังอาจทำให้รากและต้นโป๊ยเซียนเน่าได้ เมื่อปลูกโป๊ยเซียนได้ระยะหนึ่งควรทำการพรวนดินรอบๆ กระถางปลูก ห่างจากโคนต้นประมาณ 2 นิ้ว พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดิน
แสงแดด
โป๊ยเซียนเป็นไม้ที่ชอบแดด การปลูกถ้าให้โป๊ยเซียนได้รับแสงแดดประมาณ 70% จะดีมาก โดยเฉพาะแดดตอนเช้าถึงตอนก่อนเที่ยง ถ้าได้รับแสงแดด 100% ทั้งวันต้นจะแข็งแรง สีของดอกจะเข้มแต่เล็กลงกว่าเดิม นอกจากนี้ใบยังอาจจะไหม้เกรียมได้ ถ้าให้โป๊ยเซียนได้รับแดดน้อยหรืออยู่ในร่ม ดอกจะโต สีดอกไม่เข้ม ต้นไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงควรจัดให้โป๊ยเซียนได้รับแสงแดดประมาณ 70% โดยใช้ตาข่ายพรางแสงช่วยก็จะดีมาก อย่างไรก็ตามในฤดูร้อนอากาศแห้งแล้งแดดจัดและร้อนมากเกินไปอาจทำให้โป๊ยเซียนเหี่ยวเฉาได้ ดังนั้นความชุ่มชื้นในอากาศก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโป๊ยเซียนเช่นกัน
การรดน้ำ
ตามปกติควรรดน้ำวันละครั้งในตอนเช้าและควรรักษาระดับความชื้นของดินให้พอเหมาะไม่แฉะหรือแห้งเกินไป เช่น ถ้าเป็นช่วงฤดูแล้งดินปลูกแห้งมากควรรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ฤดูฝนถ้าวันใดฝนตกก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำแต่ควรตรวจดูผิวดินในกระถางด้วย ทั้งนี้เพราะใบของโป๊ยเซียนอาจปกคลุมกระถางจนทำให้ฝนที่ตกลงมาไม่สามารถลงไปในกระถางได้ ถ้าโป๊ยเซียนกำลังออกดอกควรหลีกเลี่ยงอย่าให้น้ำไปถูกดอกเพราะจะทำให้ดอกเน่าและร่วงเร็วกว่าปกติ สำหรับน้ำที่ใช้รดควรเป็นน้ำที่มีสภาพเป็นกลาง
การตัดแต่งกิ่ง
โป๊ยเซียนบางต้นมีการแตกกิ่งก้านสาขามาก บางต้นมีลำต้นเดียวไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา ต้นที่มีกิ่งก้านสาขามากจะเป็นพุ่มทึบแสงแดดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้โป๊ยเซียนออกดอกน้อยและมีขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งหลบซ่อนของโรคและแมลงศัตรูพืช ควรตัดกิ่งก้านออกบ้างเพื่อให้แสงและอากาศถ่ายเทได้สะดวก การตัดควรตัดให้ชิดลำต้นไม่ควรเหลือตอกิ่งไว้ กิ่งที่เหลือไว้ควรให้มีรูปทรงสวยงามเป็นไปตามธรรมชาติ หลังจากตัดกิ่งออกแล้วควรใช้ปูนแดงทาบริเวณรอยตัดเพื่อป้องกันเชื้อรา ส่วนกิ่งที่ตัดออกอาจนำไปขยายพันธุ์ต่อไป สำหรับโป๊ยเซียนที่มีลำต้นเดี่ยวไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ถ้ากิ่งสูงมากเมื่อโดนลมแรงๆ อาจทำให้ต้นหักได้ควรตัดยอดไปขยายพันธุ์เป็นต้นใหม่ ส่วนโคนที่เหลือก็จะแตกกิ่งก้านออกมาใหม่
การให้ปุ๋ย
เมื่อปลูกโป๊ยเซียนเป็นเวลานานธาตุอาหารในดินก็จะถูกใช้ไปเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องเพิ่มธาตุอาหารหรือปุ๋ยลงไปในดิน การใส่ปุ๋ยให้กับโป๊ยเซียนสามารถใส่ได้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือปุ๋ยเคมี การรดน้ำก็ไม่ควรรดให้แฉะเกินไป เพราะจะทำให้ก้านส่งดอกยาว ออกดอกซ้อนและดอกจะโรยเร็ว นอกจากนี้ก็ไม่ควรรดน้ำให้ถูกดอกเพราะจะทำให้เกสรดอกเน่าดำหมดความสวยงามได้